top of page

"นักบัลเล่ต์น้อยแห่งซีเรีย" เรื่องเล่าใจสลายของผู้ลี้ภัยเด็ก

  • รูปภาพนักเขียน: Tarn
    Tarn
  • 14 ก.ค. 2565
  • ยาว 1 นาที

อัปเดตเมื่อ 28 ก.ย. 2565

อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ไม่เข้าใจมาก ๆ

ว่าทำไมในยุคนี้จึงยังมีคนที่ต้องการทำสงครามอีก!


หนังสือเล่มนี้ เราต้องขอยกให้เป็นหนึ่งในหนังสือเด็กในดวงใจเลยค่ะ


No Ballet Shoes in Syria (2019) เป็นนิยายสำหรับเด็กวัยประมาณประถมปลาย เขียนโดยคุณ Catherine Bruton นักเขียนที่มีผลงานหนังสือเด็กที่ได้รางวัลมาแล้วมากมาย เล่มนี้ตีพิมพ์กับ สนพ. Nosy Crow ประเทศสหราชอาณาจักรค่ะ ตอนนี้หนังสือมีเวอร์ชันภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น กับดัตช์ แต่ยังไม่มีแปลไทยนะคะ (จ้างได้ 555) หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องของ "อายา" เด็กหญิงผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย ที่ย้ายมาอยู่ที่สหราชอาณาจักรกับแม่และน้องชายวัยเตาะแตะ จากที่เคยเป็นเด็กธรรมดา ๆ มีครอบครัวอบอุ่น มิตรสหาย และได้ไปเรียนบัลเล่ต์ทุกสัปดาห์ เธอต้องมาพึ่งพาความเมตตาของคนแปลกหน้าต่างแดน และเป็นเสาหลักให้ครอบครัวในวันที่พ่อไม่อยู่ โชคดีที่อายาได้เจอกับคลาสเรียนบัลเล่ต์ที่รับเธอเข้าเป็นสมาชิกใหม่ นักเรียนที่นั่นกำลังจะออดิชันเพื่อเข้าเรียนใน Northern Ballet School โรงเรียนสอนบัลเล่ต์ระดับอาชีพ หากอายาได้เป็นนักเรียน แม่และน้องของเธอก็อาจมีสิทธิได้อยู่ต่อไปในยูเค แต่ถ้าไม่... อายาและครอบครัวจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร???



แอบนอกเรื่อง

จริง ๆ เราเริ่มยืม No Ballet Shoes in Syria มาอ่านตั้งแต่ต้นเดือนเมษา เพราะครูที่สอนคลาสนักเขียนวรรณกรรมเด็กแนะนำมา ครูบอกว่า "ตาล... ถ้าเธอสนใจหนังสือเด็กสายโลกมืด เธอต้องอ่านเล่มนี้เลย นักเขียนคนนี้เค้ารีเสิร์ชโหดมาก ถึงจะไม่ได้เป็นผู้ลี้ภัย ไม่ได้มีประสบการณ์ร่วม แต่เธอก็เขียนเรื่องที่ "authentic" ได้นะ"

เราก็รับปากว่าจะไปหาอ่านดู ปรากฏว่าอ่านไปร้องไห้ไป เล่มนึงมี 47 บท คนใจบางอย่างเรานี่ร้องไห้มันเกือบจะทุกบท 555 แล้วคือปกติเราจะอ่านหนังสือช่วงก่อนนอน เจอเล่มนี้เข้าไป นอนไม่หลับเลย อ่านแป๊บ ๆ น้ำตารื้น จบกัน วาง ไว้โอกาสหน้า ไปอ่านเล่มอื่นก่อน ผ่านไปสองเดือนถึงจะอ่านจบ ตอนแรกเราว่าจะรีวิวเรื่อง The Boy at the Back of the Class ของคุณ Onjali Q. Raúf นักเขียนหนังสือเด็กชาวอังกฤษเชื้อสายบังกลาเทศและนักกิจกรรมด้านสิทธิสตรี แต่ว่าหลังจากที่อ่านเล่มนี้จบ เราก็เลือกเล่าเล่มนี้แทน เพราะมันมีประเด็นที่น่าสนใจหลายอย่างค่ะ ขอหยิบยกมา 3 ประเด็นแล้วกัน คือ


1️⃣ ความรีเสิร์ชโหด

คุณ Catherine Bruton ผู้เขียนเรื่อง No Ballet Shoes in Syria ไม่ได้มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย แต่เขียนหนังสือเด็กที่เล่าเรื่องจากมุมมองของผู้ลี้ภัยเด็กชาวซีเรีย ชื่อ อายา ได้สะเทือนใจ และน่าเชื่อถือมาก อ่านแล้วรู้เลยว่านักเขียนทำรีเสิร์ชมาดี เพราะเล่าความรู้สึกของผู้ลี้ภัยได้ละเอียดอ่อน ทั้งความกลัวถูกขับไล่ ความกดดันที่จะต้องเป็นเสาหลักให้คนในครอบครัว ความอับอายที่ต้องถูกคนมองด้วยสายตาเวทนา ต้องรับของบริจาค ความเหนื่อยล้าจนอยากจะยอมแพ้ และความรู้สึกผิดที่ตัวเองรอดชีวิตในขณะที่พี่น้องผองเพื่อนบาดเจ็บล้มตายระหว่างการหนีสงคราม ระหว่างที่อ่าน เรารู้สึกเลยว่า ถ้าเราไปตกอยู่ในสถานะแบบเดียวกันนั้น เราก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน มันช่างเป็นประสบการณ์ที่ทรมานและน่าหวาดกลัวมาก ไม่ว่าจะสำหรับใครก็ตาม


ในบทส่งท้าย คุณ Catherine ยังบอกด้วยว่า เธอไปใช้เวลาสังเกตและสัมภาษณ์คนที่องค์กรช่วยเหลือผู้ลี้ภัยหลายแห่ง เช่น Bristol Refugee Rights, Bath Welcomes Refugees ฯลฯ รวมถึงพูดคุยกับสมาชิกจากชุมชนผู้ลี้ภัยชาวซีเรียในยูเค ทั้งยังอ่านบทสัมภาษณ์และคำบอกเล่าของผู้ลี้ภัยเด็กอีกนับไม่ถ้วน เธอต้องการเขียนเรื่องออกมาให้เข้าไปนั่งในใจผู้อ่าน เป็นเรื่องที่ผู้ลี้ภัยอ่านแล้วรู้สึกเข้มแข็ง มีกำลังใจ ไม่ใช่รู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่เหยื่อที่อ่อนแอ


ในวงการหนังสือเด็กตะวันตก นักวิชาการและคนทำหนังสือจะระมัดระวังและเคลือบแคลงมาก เวลานักเขียนจากกลุ่มอภิสิทธิ์ชน (เช่น นักเขียนผิวขาว จากกลุ่มชนชั้นกลาง/สูง ร่างกาย 'ปกติ') "เล่าเรื่องแทน" ชนกลุ่มน้อย (เช่น คนผิวสี คนยากจน ผู้อพยพลี้ภัย ผู้พิการ) เพราะนักเขียนเหล่านี้มีสถานะมั่นคง เป็นที่รับฟัง นับหน้าถือตาในสังคมอยู่แล้ว พูดอะไรใครก็เชื่อว่าจริง หากนักเขียนเล่าเรื่องเกี่ยวกับคนกลุ่มที่ไม่มีปากมีเสียง โดยที่ตัวเองไม่ได้รู้ดีพอ ไม่มีประสบการณ์ร่วม เข้าใจผิด หรือมีอคติแอบแฝง ก็จะทำให้คนทั่วไปเข้าใจชนกลุ่มน้อยผิด หรืออย่างเลวร้ายที่สุดก็คือพาลมีอคติไปด้วย ชนกลุ่มน้อยไร้พาวเวอร์จะมาแก้ความเข้าใจใหม่ก็ยากอีก เพราะไม่ได้มีโอกาสเล่าเรื่องของตัวเอง หรือเล่าไปก็ไม่ได้เข้าถึงผู้คนได้มากมายเท่า


การนำวัฒนธรรม ประสบการณ์ และเรื่องราวของชนกลุ่มน้อยมาหากินโดยไม่ได้ใส่ใจจะพัฒนาชีวิตของพวกเขาให้ดีขึ้น ได้รับความยุติธรรมและความเข้าใจขึ้น ถือว่าเป็นการฉกฉวยทางวัฒนธรรม (cultural appropriation) แม้บางครั้งนักเขียนจะหวังดี แต่หากรีเสิร์ชมาไม่ดี แทนที่จะช่วยมันจะกลายเป็นซ้ำเติมไป

เช่น การเล่าเรื่องให้ผู้ลี้ภัยมีลักษณะน่าสงสาร น่าเวทนา อาจทำให้คนทั่วไปในสังคมรู้สึกสงสารอยากช่วยเหลือ แต่ทำให้ผู้ลี้ภัยเองรู้สึกต่ำต้อย ไร้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไร้พลัง ทำได้แค่รอคอยความช่วยเหลือเท่านั้น ปัญหาทางพล็อตแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งกับหนังสืออีกหลายเล่ม ที่เล่าเรื่องชนกลุ่มน้อยและผู้ที่ถูกกดขี่ในสังคม บนพื้นฐานความเข้าใจของอภิสิทธิชน (Matthews, 2009; Rieger&McGrail, 2015)


เมื่อเทียบกับ The Boy at the Back of the Class แล้ว เรื่องนั้นแม้จะมีใจความซัพพอร์ตผู้ลี้ภัย แต่ด้วยความที่เรื่องเล่าผ่านสายตาตัวละครเด็กชาวอังกฤษที่มีเพื่อนเป็นผู้ลี้ภัย ทำให้ผู้ลี้ภัยกลายเป็นตัวละครรองไปอยู่นั่นเอง แต่ว่ามันก็ใช่ว่าจะไม่ดีนะ เพราะการหักไปเล่ามุมมองของคนรอบข้าง ทำให้เรื่องซอฟต์ลงไปเลย เด็กที่อ่านก็คงไม่สะเทือนใจมากเท่าไหร่


อย่างไรก็ตามสำหรับสายฮาร์ดคอร์อย่างเราแล้ว เราว่าเล่าเรื่องจริงตรง ๆ ไปเลยเนี่ยแหละดีสุด (ถึงจะร้องไห้ตัวแห้งไปแล้วก็ตาม...) คุณ Catherine ทำให้เราเชื่อว่า ใครจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับใครก็ได้ แค่ต้องทำรีเสิร์ชมาให้ดีพอและซื่อตรงต่อหน้าที่ "กระบอกเสียง" ของตนให้มาก

2️⃣ วิธีเล่าเรื่องไกลตัว ให้ใกล้ตัวเด็ก ๆ

No Ballet Shoesฯ มีวิธีเล่าเรื่องที่ฉลาดมาก คือเล่าเส้นเรื่องปัจจุบันสลับไปกับอดีต


เรื่องเริ่มต้นที่อายากับแม่และน้องชายเบบี๋ย้ายมาอยู่ยูเค แล้วต้องกรอกเอกสารมากมายเพื่อขอสถานะผู้ลี้ภัย แต่เอกสารก็ยุ่งเหยิง เดินเรื่องล่าช้า เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่มีใครให้คำสัญญากับเธอได้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน เธอจะถูกขับออกจากประเทศมั้ย


ถ้าอายาไม่ได้สถานะผู้ลี้ภัย เธอก็จะไปโรงเรียนไม่ได้ ไม่มีสิทธิพลเมืองใด ๆ แม่ของอายาเองก็เป็นที่พึ่งให้เธอไม่ได้มากเพราะพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น แถมยังป่วยกระเสาะกระแสะเพราะต้องเดินทางไกลแม้จะเพิ่งคลอดน้องชายของเธอได้ไม่นาน


เส้นเรื่องในอดีตพาเราย้อนไปดูชีวิตของอายา ตอนยังอยู่ที่เมืองอะเลปโป ประเทศซีเรีย เธอเป็นแค่เด็กธรรมดา ๆ พ่อเป็นหมอที่โรงพยาบาลกลาง อายาไปเรียนบัลเล่ต์ทุกอาทิตย์ และมีเพื่อน ๆ มากมาย แต่แล้ววันหนึ่งสงครามก็มาถึงหน้าบ้าน ระเบิดลงใกล้ ๆ บ้านของอายาและคร่าชีวิตเพื่อนของเธอไปขณะที่ทั้งหมดกำลังเล่นกันอยู่บนถนน ครอบครัวของอายาก็เหมือนกับอีกหลายครอบครัวที่เชื่อว่า สงครามจะสิ้นสุดในเร็ววัน ไม่จำเป็นต้องหนี... น่าเศร้า ที่พวกเขาคิดผิด


เส้นเรื่องปัจจุบัน อายาพบกับด็อตตี้ เพื่อนใหม่ที่คลาสสอนบัลเล่ต์ประจำชุมชน ครูเฮเลน่าผู้เป็นเจ้าของคอร์สอนุญาตให้เธอเข้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่น ๆ และเมื่อพบว่า อายามีพรสวรรค์ในการเต้นบัลเลต์ ครูก็พยายามผลักดันให้เธอได้ออดิชันเข้าโรงเรียนสอนบัลเล่ต์ระดับอาชีพ Northern Ballet School เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้ครอบครัวของเธอได้สิทธิผู้ลี้ภัยง่ายขึ้น ความกดดันมากมายถาโถมเข้าใส่อายาในทันที


ระหว่างการฝึกซ้อมไปจนถึงวันออดิชัน เราได้เห็นอดีตของอายาเปิดเผยทีละน้อยผ่านการตีความท่าเต้นรำและแฟลชแบ็ก ตั้งแต่วันที่ครอบครัวของเธอหลบหนีออกจากอะเลปโป เข้าสู่ตุรกีด้วยรถบรรทุก เกือบหมดอากาศหายใจตายอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ ประสบเหตุเรือล่มใกล้ชายฝั่งประเทศกรีซ จนมาถึงฉากสุดท้ายอันน่าเศร้าในการลี้ภัยแสนยาวนานของเธอ

แล้วเส้นเรื่องหลักสองเส้นมาบรรจบกันผ่านการเต้นบัลเล่ต์ได้อย่างลงตัวและสวยงาม


นอกจากจะวางเส้นเรื่องไว้ได้อย่างฉลาด น่าประทับใจแล้ว ตัวละครแต่ละตัวใน No Ballet Shoes in Syria ยังถูกออกแบบมาให้เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์หลายเรื่องจากหลายมุมมอง เช่น ครูเฮเลน่าเป็นผู้ลี้ภัยในสงครามโลกครั้งที่สองที่สูญเสียครอบครัวทั้งหมดไปในค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ ส่วนครอบครัวมาซซุด เพื่อนบ้านของอายาเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองของซีเรียที่สูญเสียลูกสาวไปจากระเบิด และลูกชายถูกจับเข้าคุก ขนาดเพื่อนร่วมคลาสบัลเล่ต์จอมเหยียดของอายาก็มีเรื่องราวเบื้องหลังที่ทำให้เราต้องเห็นใจเธอจนได้


แม้ว่าเรื่องราวใน No Ballet Shoes in Syria จะเกิดขึ้นที่ยูเค แต่สงครามและความอยุติธรรมไม่ใช่เรื่องใหม่หรือไกลตัวแต่อย่างใด โดยเฉพาะกับไทยเราเองที่ก็เห็นสงครามเกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านอยู่เรื่อย ๆ ขณะที่การจับกุมและทำร้ายผู้เห็นต่างทางการเมืองก็ยังคงมีให้เห็นในทุกวันนี้

3️⃣ เล่าเรื่องโหดร้ายที่ให้ความหวัง

"ฉันจะไม่เดินทางเข้าที่มืด หากไม่อาจจุดไฟพาตัวเองออกมาได้" นี่เป็นคำพูดของหนึ่งในนักเขียนคนโปรดของคุณ Catherine และเป็นคติที่เธอยึดถือขณะออกแบบโครงเรื่อง No Ballet Shoes in Syria


ในบทส่งท้ายนักเขียนพูดถึงเป้าหมายของหนังสือเล่มนี้ว่า เธอต้องการให้เด็ก ๆ ได้เผชิญกับโลกแห่งความจริงอย่างกล้าหาญ มีเมตตา และมีความหวัง การเล่าเรื่องจริงที่เจ็บปวด ซับซ้อนนั้น ท้าทายทั้งกับนักเขียนและคนอ่าน เธอไม่ต้องการเล่าเรื่องจริงที่ตัดเรื่องเลวร้ายออกไปหรือสักแต่เสนอทางออกสวยหรูที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง ขณะเดียวกัน มันจะไปมีประโยชน์อะไรถ้าคนอ่าน อ่านเรื่องจริงแล้วหดหู่สิ้นหวัง และไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไร


เราคิดว่า ฉากที่อายาพบกับแรงบันดาลใจที่จะเต้นบัลเล่ต์อีกครั้ง มันทรงพลังมากเลยนะ


ในตอนนั้นอายารู้สึกหมดกำลังใจและสับสน เธอไม่รู้จะออดิชันไปทำไม ถ้าครอบครัวเธอจะต้องโดนขับออกนอกยูเคในที่สุด ขณะเดียวกัน ถ้าเธอสามารถเต้นรำได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง นั่นไม่เท่ากับว่าเธอลืมเพื่อน ๆ ของเธอที่ถูกพรากโอกาสที่จะเป็นนักเต้น และมีชีวิตที่มีความสุขหรอกหรือ?


แต่แล้วบทสนทนากับครูเฮเลน่าก็ทำให้อายาค้นพบเหตุผลที่เธอควรจะเต้น และมีชีวิตต่อไป

"ฉันตัดสินใจว่าจะเต้น เต้นเพื่อทุกคนที่จากไป เพื่อทุกการเสียสละ ฉันจะสร้างสิ่งสวยงาม จากความอัปลักษณ์ที่คร่าชีวิตครอบครัวของฉันให้ได้"


บางทีชีวิตคนเราก็ต้องเจอกับความเศร้าความสูญเสียที่ยากจะยอมรับหรือก้าวข้ามไปได้ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าชีวิตเราจะต้องจบลง จมอยู่กับความเศร้า หรือพยายามที่จะลืมอดีต


เราสามารถพยายามอยู่ต่อไปเพื่อจดจำเรื่องราวของผู้ที่จากไปและใช้ชีวิตแทนพวกเขา เพื่อช่วยเหลือคนอื่น ๆ ไม่ให้ต้องพบเจอความทุกข์ยากแบบเดียวกัน

ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันไป...


เราชอบที่หนังสือเล่มนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้คนอ่านรับรู้เรื่องเลวร้ายและตระหนักถึงความทุกข์ของเพื่อนร่วมโลก แต่ยังให้ความหวัง และให้ตัวอย่างทางความคิดแก่ผู้อ่านเด็ก ๆ ว่าจะจุดไฟออกจากที่มืดอย่างไรได้บ้าง ซึ่งเราว่ามันมีค่ามากกว่าการเลี่ยงไม่เล่าปัญหา แล้วทำให้เด็กเสียโอกาสที่จะเรียนรู้วิธีแก้ปัญหามากมายนัก


No Ballet Shoes in Syria ไม่มีภาพประกอบ เราเลยคัดโควตเด็ด ๆ มาแปะเพิ่มเติมพอเป็นน้ำจิ้ม ใครสนใจ ตอนนี้หนังสือมีเวอร์ชันภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น กับดัตช์ แต่ยังไม่มีแปลไทยนะคะ (จ้างได้ 555)


เพื่อน ๆ ชอบโควตไหนสุดคะ?

เล่มต่อไปที่จะรีวิวเป็นเล่มสุดท้ายของเซ็ตหนังสือธีมผู้ลี้ภัยและสงครามแล้ว ความเด็ดของมันคือ เขียนโดยผู้ลี้ภัยเด็กจริง ๆ ทำให้มักถูกคนนำไปเทียบกับบันทึกของแอนน์ แฟรงก์... ติดตามอ่านกันนะคะ

จริง ๆ แล้วยังมีหนังสืออีกมากมายที่เล่าเรื่องธีมนี้ (เราคัดมาแค่เล่มต่างกันมาก ๆ จะได้หลากหลาย ๆ) ใครกำลังหาหนังสืออยู่สอบถามเข้ามาได้ มาแลกเปลี่ยนกันได้น้า แล้วพบกันค่า


*บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรก ที่นี่


อ้างอิง

Matthews Nicole (2009) Contesting representations of disabled children in picture-books: visibility, the body and the social model of disability, Children's Geographies, 7:1, 37-49, DOI: 10.1080/14733280802631005


Rieger, A. and McGrail, E. (2015) ‘Exploring Children’s Literature With Authentic Representations of Disability’. Kappa Delta Pi Record, 51(1): 18-23. DOI:10.1080/00228958.2015.988560


Comments


Please subscribe us to not miss any updates

  • Instagram
  • Facebook
  • Twitter

ขอบคุณที่ subscribe จ้า

© 2022 by Children's Books Out There. Proudly created with Wix.com

bottom of page