top of page
  • รูปภาพนักเขียนTarn

"คู่มือนักเรียน (ขบถ)" สอนเด็กยังไงไม่ให้ "เชื่อง"

อัปเดตเมื่อ 28 ก.ย. 2565

ขณะที่เด็กในโรงเรียนถูกสอนให้เชื่อฟังผู้ใหญ่อย่างไม่มีข้อแม้และคำถาม

ครูสองคนตัดสินใจแฉระบบการศึกษาแบบอำนาจนิยมจนหมดเปลือก...

ใช่ค่ะ... นี่คือประเทศเดนมาร์กเมื่อ 50 ปีที่แล้ว



ผู้ใหญ่ทุกคน ล้วนเป็นเพียงเสือกระดาษ

- คู่มือนักเรียน (ขบถ)



***บทความนี้เขียนครั้งแรก วันที่ 8 กันยายน 2021 ที่นี่


เนื่องจากเด็กไทยกำลังเรียกร้องสิทธิการศึกษาที่ฟรี เท่าเทียม และมีประสิทธิภาพ

เพื่อนักเรียนทั่วประเทศ ทำเว็บไซต์ที่ชวนให้เพื่อน ๆ นักเรียนประท้วงไปด้วยกัน และยังจัดพิมพ์หนังสือคู่มือที่แนะนำวิธีปกป้องสิทธิเสรีภาพของตัวเองและเพื่อนนักเรียนอีกต่างหาก (คู่มือเอาตัวรอดในโรงเรียน... เข้าไปสมทบทุนสนับสนุนนักเรียนกันได้นะคะ)


เราเลยนึกถึงหนังสือสำหรับเด็กชื่อ Den lille røde bog for skoleelever (The Little Red Schoolbook—คู่มือนักเรียนขบถ) ขึ้นมาค่ะ ทุกวันนี้ด้วยความมหัศจรรย์ของอินเตอร์เน็ต เราได้เห็นเยาวชนมากมายทั่วโลกเข้ามามีส่วนรวมทางสังคม-การเมือง และแสดงเจตจำนงที่จะเขียนบทบาทสังคมของตัวเองใหม่ เพื่อให้มีอิสระในการคิดและแสดงออก และได้รับการรับฟังอย่างตั้งใจ

ทว่า การประท้วงของนักเรียนไม่ใช่เรื่องใหม่...

คนไทยอย่างเรา ๆ เองก็คงจำกันได้หรือได้เรียนกันมา ว่าเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว เราก็เคยมี Student Movements เหมือนกัน และการเคลื่อนไหวครั้งนั้นจบลงอย่างไร

ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้น "คนรุ่นใหม่" ทั่วโลกกำลังลุกฮือเพื่อเรียกร้องอิสรภาพทางความคิดและการแสดงความคิดเห็น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความยุติธรรม การเข้าถึงสวัสดิการรัฐ สวัสดิการแรงงาน ความเท่าเทียมทางการศึกษา ฯลฯ ประเทศเดนมาร์กเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่นักเรียน คนรุ่นใหม่ และคนรุ่นเก่าที่มีแนวคิดใหม่ ๆ ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง และส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวที่กลายเป้นประเด็นร้อนแรงในวงการหนังสือเด็กของยุโรปก็คือ การตีพิมพ์หนังสือคู่มือนักเรียนชื่อ Den lille røde bog for skoleelever ในปี 1969 ค่ะ


คู่มือนักเรียนที่มีปัญหามากที่สุดในโลก

Den Lille Røde Bog ถูกกล่าวขานในวงการหนังสือแปลสมัยนั้นว่า เป็นหนึ่งในหนังสือเด็กที่ก่อความวุ่นวาย (ให้กับบรรณาธิการ) มากที่สุด เพราะเขียนมาเพื่อ "แฉ" กระบวนการจัดการการศึกษาที่ไร้ประสิทธิภาพและทำลายอนาคตเด็ก ในแบบที่เด็ก (และผู้ใหญ่ของเด็ก ๆ) เข้าใจได้ง่าย อ่านแล้วเบิกเนตร ตาสว่างยันปากซอย ทำให้เด็ก ๆ ตระหนักถึงอำนาจในโรงเรียนที่ผู้ใหญ่ใช้กับเด็กในนามของ “ความหวังดี”


คลิกเพื่ออ่านคำแปล

คำนำจากนักเขียน (เวอร์ชันแปลภาษาอังกฤษ สำหรับขายในสหราชอาณาจักร)

ตอนที่ เยสเปอร์ เยนเซน และฉันตีพิมพ์หนังสือเรื่อง The Little Red Schoolbook ครั้งแรกในปี 1969 เราตั้งใจประท้วงระบบการศึกษาอำนาจนิยม/แบบวิกตอเรียน ในโรงเรียนซึ่งเต็มไปด้วยกฎระเบียบอย่างกับสอนหุ่นยนต์


ผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ส่วนใหญ่มีทั้งครูและผู้ปกครอง แต่ว่าเด็กนักเรียนก็ชอบเหมือนกัน ไม่ว่าจะในประเทศตะวันออกอย่าง ญี่ปุ่น หรือตะวันตกอย่างเม็กซิโก

หนังสือได้รับการแปลไป 20 ภาษาเพื่อตอบสนองความต้องการอ่านของผู้คน

ในออสเตรเลีย รัฐบาลเกือบจะคว่ำมันทิ้ง

พระสันตะปาปาประณามหนังสือเล่มนี้ว่าไร้ศีลธรรม

บรรณาธิการในกรีซโดนจำคุกเพราะกล้าเอามันมาเผยแพร่สู่สาธารณชน

ผู้มีอำนาจในสหราชอาณาจักรยึดหนังสือเล่มนี้จากสำนักพิมพ์

บรรณาธิการที่นั่นร้องเรียนต่อศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป แต่ก็แพ้ไป


โชคดี ที่ระบบการศึกษาอำนาจนิยมแบบวิกตอเรียน ไม่มีอีกต่อไปแล้ว จะมีก็แต่วิธีที่แนบเนียนกว่าเดิมในการอบรมบ่มเพาะเด็กให้เติบโตตามมาตรฐาน เด็ก ๆ ถูกจัดวางในสมรภูมิการแข่งขัน และแล้วการศึกษาก็ไม่ได้เป็นเรื่องของการพัฒนาเด็กให้โตไปเป็นผู้ใหญ่ตามที่เด็กแต่ละคนต้องการ แต่เป็นเรื่องของการสอบ การแบ่งแยกตามระดับ วางมาตรฐานวิชาการ การพัฒนาความฉลาด และการวัดอันดับกันเท่านั้น



หนังสือยังได้กล่าวหาว่า ระบบการศึกษาแบบนี้ เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น ไม่ส่งเสริมให้เด็กคิดอย่างอิสระ บังคับให้ต้องทำตามกฎเกณฑ์และไม่กล้าแสดงตัวตนของตัวเอง ก็เพื่อให้เด็กโตไปเป็น กลุ่มก้อนแรงงานราคาที่ถูกควบคุมง่าย ทั้งยังเปิดโปงความหน้าไหว้หลังหลอกของผู้ใหญ่ในสังคม และให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่ผู้ใหญ่ชอบปิดบังเด็ก ๆ อย่างตรงไปตรงมา เช่น เรื่องเพศ การคุมกำเนิด ความหลากหลายทางเพศซึ่งตอนนั้นยังไม่เป็นที่ยอมรับ การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผลที่จะเกิดขึ้นจากการเสพสารเสพติดชนิดต่าง ๆ เพื่อให้เด็กมีความรู้ ความเข้าใจเพียงพอที่จะตัดสินใจใช้ชีวิตในแบบที่ตนต้องการ ไม่ใช่ถูกจำกัดด้วยความกลัวและความไม่รู้ ที่ผู้ใหญ่ปลูกฝังมา


คลิกเพื่ออ่านคำแปล

การศึกษา

(เวอร์ชันแปลภาษาอังกฤษ สำหรับขายในสหราชอาณาจักร)


ทุกคนล้วนแต่อยากรู้เรื่องของสิ่งต่าง ๆ

การศึกษาควรจะสอนเธอว่าจะรู้เรื่องพวกนั้นที่เธออยากรู้ได้อย่างไร และให้โอกาสเธอพัฒนาความสามารถและความสนใจอย่างเต็มที่


ปัญหาคือมีน้อยคนนักที่รู้ว่าจะทำแบบนี้ได้อย่างไร

คนที่รู้ หรืออย่างน้อยที่สุดคือมีความคิดดี ๆ มักไม่ใช่คนที่ดูแลระบบการศึกษา

ระบบการศึกษานั้นอยู่ใต้การควบคุมของคนมีเงิน และคนเหล่านี้แหละที่ตัดสินใจไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ว่าเธอควรได้รับการสั่งสอนอะไรและอย่างไร


ไม่ว่าครูและนักการเมืองจะพูดอะไร จุดมุ่งหมายของระบบการศึกษาในสหราชอาณาจักรนั้น ไม่ใช่การมอบโอกาสที่ดีที่สุดให้เธอได้พัฒนาศักยภาพตัวเอง


อุตสาหกรรมและธุรกิจต่าง ๆ ที่ครอบงำระบบเศรษฐกิจอยู่นั้นต้องการผู้เชี่ยวชาญมีการศึกษาสูงเพียงแค่หยิบมือเพื่อทำงานที่ต้องใช้สมอง และต้องการคนที่มีการศึกษาต่ำกว่าในจำนวนมาก ๆ เพื่อใช้แรงงาาน ระบบการศึกษาของเราตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างคนสองประเภทนี้ออกมาในสัดส่วนที่เหมาะสม--- ซึ่งมันก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรนัก ผลก็คือ โรงเรียนในสหราชอาณาจักรโดยทั่วไปแล้ว ไม่ได้ให้การศึกษาที่เหมาะสมกับพวกเธอ


เริ่มแรกเลย โรงเรียนเหล่านี้มีเงินไม่พอ ซึ่งนำมาสู่ผลลัพธ์มากมาย โรงเรียนหลายแห่งไม่มีอาคารเรียนที่เหมาะสม ครูไม่ได้รับค่าจ้างที่เพียงพอ แล้วจำนวนครูก็ยังไม่พอเพียงด้วย ห้องเรียนส่วนใหญ่มีนักเรียนมากเกินกว่าที่ครูจะให้ความสนใจพวกเธอเป็นรายคนได้ แล้วหนังสือก็ยังมีไม่พอเสียอีก



ไม่เพียงเท่านั้น หนังสือยังแนะนำเด็ก ๆ ถึงวิธีที่จะปกป้องและเรียกร้องสิทธิของตัวเองด้วย เช่น วิธีเขียนจดหมายร้องเรียน วิธีรวบรวมหลักฐานการกระทำผิดของครู ความสำคัญของการรวมกลุ่มประท้วง และวิธีใช้กฎหมายข้อต่าง ๆ เรียกร้องสิทธิทางการศึกษาที่ตนพึงได้รับ



"เธอแยกโรงเรียนออกจากสังคมไม่ได้

เธอต้องเปลี่ยนมันสักอย่าง เพื่อจะพัฒนาอีกสิ่งหนึ่ง

แต่อย่าได้กลัวไป

ทุกความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่เธอเริ่มในโรงเรียนจะส่งผลต่อสังคม

ทุกความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่เธอเริ่มในสังคม ก็จะส่งผลต่อโรงเรียนเช่นกัน"



การต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มที่ตัวเธอเองเสมอ

แม้ว่าการต่อสู้เช่นนี้จะเกิดมาแล้ว กับคนมากมายหลายหลาก ในหลาย ๆ ที่

แต่มันก็เป็นการต่อสู้แบบเดียวกัน






ครู ในฐานะผู้ใหญ่ที่เป็นปากเสียงให้เด็ก ๆ

ที่เด็ดที่สุดคือ หนังสือเล่มนี้เขียนโดย "คุณครู" สองคนชื่อ Bo Dan Andersen และ Søren Hansen ร่วมกับนักจิตวิทยา Jesper Jensen ที่สุดจะทนกับระบบการศึกษาเดนมาร์กในสมัยนั้น ที่แสนโบราณ ไม่ให้อิสรภาพทางความคิดกับเด็ก ๆ และเต็มไปด้วยผู้ใหญ่บ้าอำนาจที่เอาแต่ขู่ให้เด็กทำนู่นทำนี่

โดยครู Søren ได้บอกไว้ในหนังสือว่า ที่เธอเขียนคู่มือน้อยเล่มนี้ก็เพื่อ "ต่อต้านระบบโรงเรียนแบบวิกตอเรียนที่กดขี่ข่มเหงเด็กและทำงานเหมือนหุ่นยนต์" และแนะนำให้ "นักเรียนและคุณครูร่วมมือกัน" ล้มล้างการกดขี่ในโรงเรียนและพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น


คลิกเพื่ออ่านคำแปล

ผู้ใหญ่ทุกคนล้วนเป็นเสือกระดาษ


พวกเธอหลายคนคงคิดว่า "ไม่ได้ผลหรอก เราทำอะไรไม่ได้เลย พวกผู้ใหญ่ตัดสินใจเอาเองหมด ส่วนเพื่อน ๆ ของเราถ้าไม่กลัวเกรงก็เลิกสนแล้ว"


จริงอยู่ที่พวกผู้ใหญ่มีอำนาจมากมายเหนือพวกเธอ เหมือนเป็นเสือตัวจริง แต่ในระยะยาวแล้ว พวกเขาควบคุมเธอไม่ได้เสียทุกอย่างหรอก ก็เหมือนกับเสือกระดาษนั่นแหละ


เสือน่ากลัวก็จริง แต่ถ้าทำมาจากกระดาษก็กินใครไม่ได้ พวกเธอกำลังเชื่อมั่นในอำนาจของผู้ใหญ่มากเกินไป และประเมินศักยภาพตัวเองต่ำไป


เด็กและผู้ใหญ่ไม่ใช่ศัตรูตามธรรมชาติของกันและกัน

และที่จริง ผู้ใหญ่เองก็ควบคุมชีวิตตัวเองได้น้อยมาก พวกเขามักจะรู้สึกติดกับเศรษฐกิจและการเมือง ส่วนพวกเด็ก ๆ ก็ทุกข์ทนกับผลที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันได้ก็เมื่อผู้ใหญ่ตระหนักได้เสียที และเริ่มที่จะทำอะไรสักอย่าง


ถ้าพวกเธอคุยแลกเปลี่ยนกันในหมู่เด็ก ๆ และพยายามจะสร้างความเปลี่ยนแปลง เธอจะรู้ว่า เธอทำอะไรได้มากกว่าที่คิดมากนัก เราหวังว่าหนังสือเล่มนี้ จะทำให้เธอเห็นว่า เธอจะกุมชะตาชีวิตตัวเองได้อย่างไรบ้าง


เราหวังว่าหนังสือเล่มนี้ จะทำให้เธอเห็นว่า ทำไมผู้ใหญ่จึงเป็นเพียงแค่ "เสือกระดาษ" เท่านั้น"



โดนเซนเซอร์โดยผู้หลักผู้ใหญ่ในหลายประเทศ... ยกเว้นประเทศกลุ่มยุโรปเหนือ

Den Lille Røde Bog ตีพิมพ์ครั้งแรกในเดนมาร์ก ก่อนจะได้รับการแปลในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวียน ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี ญี่ปุ่น (เท่าที่อ่านจากคำนำ ไม่เห็นว่ามีแปลไทย ...หรืออาจจะแปลแล้วในสมัยนั้น แต่ตกทอดมาไม่ถึงสมัยนี้ก็ไม่ทราบได้) "Exporting the Nordic Children’s ’68: The global publishing scandal of The Little Red Schoolbook." (2018) บทความรำลึกถึง 50 ปีของการตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้เล่าว่า: ตอนที่ออกมาใหม่ ๆ หนังสือเล่มนี้โดนเซนเซอร์สารพัด ทั้งในฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ พระสันตะปาปาถึงกับออกมาบอกเอง ว่ามันเป็นหนังสือที่ชั่วร้าย บ.ก. ในกรีซถูกจับเข้าคุกเพราะเลือกหนังสือเล่มนี้มาเผยแพร่ แต่ถึงอย่างนั้นหนังสือเล่มนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักเรียน และเป็นหนังสือที่ครูและผู้ปกครองอ่านกันอย่างแพร่หลาย ในทางตรงกันข้าม ผู้ใหญ่ในประเทศกลุ่มนอร์ดิก (หรือจะให้ชัดลงไปอีกคือ สแกนดิเนเวียน) อย่าง เดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์ กลับไม่ได้สนใจจะแบนหนังสือเล่มนี้มากนัก ในเดนมาร์ก มีเสียงโวยวายนิดหน่อยก่อนที่หนังสือจะออกมา ตอนที่ Peberkværnen หรือ องค์การกระจายภาพและเสียงแผนกเยาวชนของเดนมาร์ก เอาสิ่งที่อ้างว่าเป็นต้นฉบับบางส่วนของหนังสือมาอ่านในช่วง “แนะนำหนังสือใหม่ก่อนตีพิมพ์” ท่อนที่นักเขียนเสนอว่า ถ้านักเรียนอยากให้ครูคนไหนโดนไล่ออก แค่หลอกให้ครูหลงมีเซ็กส์ด้วย ครูก็โดนเด้งแล้ว... (แต่เมื่อตีพิมพ์หนังสือ กลับไม่มีข้อความท่อนนี้อยู่ด้วย) อย่างไรก็ตาม บทความนี้ให้ข้อสังเกตไว้ด้วยว่า สมัยนั้น Peberkværnen โดนด่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะก่อนหน้านี้ สื่อเจ้านี้ก็เคยนำเสนอเนื้อหาท้าทายธรรมเนียมประเพณีมาแล้วหลายอย่าง ตั้งแต่เรื่องเจ้า ๆ ของเดนมาร์ก (เดนมาร์กยังมีกษัตริย์และราชวงศ์ ขณะเดียวกันก็เป็นประเทศประชาธิปไตยสังคมนิยมไปด้วย) ไปจนถึงการขายกัญชา เพศศึกษา และการเดินขบวนประท้วงสงครามเวียดนาม เมื่อเทียบกันแล้ว การโดนด่าเรื่องหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับการโดนด่าเรื่องอื่น ๆ อย่างมีนัยยะสำคัญอะไร บทความนี้กล่าวอีกด้วยว่า พอหนังสือออกมา ผู้ใหญ่ในเดนมาร์กก็แค่ "แปลกใจเล็กน้อย" กับถ้อยคำที่ตรงไปตรงมา นักวิจารณ์ชาวเดนิชมีบ่น ๆ กันนิดหน่อยว่า ไม่เห็นจะแรงจริงอย่างที่ตั้งตาคอยเลย ฝ่ายซ้ายบอกว่าหนังสือ “ให้ข้อมูลละเอียดดี” ส่วนฝ่ายขวาก็บอกว่า “ก็สมเหตุสมผลดี” หลังจากนั้นคนก็เลิกตื่นเต้นกับหนังสือเล่มนี้ไป แต่ยอดขายและยอดตีพิมพ์ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม



คลิกเพื่ออ่านคำแปล

เราเรียนรู้ได้อย่างไร


ครูหลายคนคิดว่า พวกเขาควรเป็นคนตัดสินใจว่าเธอควรรู้อะไรบ้าง

พวกเขาคิดว่า เสียเวลาเปล่า ๆ ที่จะปล่อยให้นักเรียนลองทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และถกเถียงนู่นนี่


ครูหลายคนคิดว่า นักเรียนควรทำเรื่องน่าเบื่อด้วยเช่นกัน เพราะนักเรียนจะได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า "หน้าที่" และรู้ว่าต้องทำตามคำสั่ง และทำเรื่องน่าเบื่อมากมายในชีวิตภายภาคหน้า

ครูหลายคนคิดว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า พวกเขาเรียนนู่นนี่ไปทำไม พวกเขาแค่บอกว่า นักเรียนต้องเรียนเพราะมันอยู่ในหลักสูตร


ครูพวกนี้พูดไม่ถูก


พวกเขาควรอธิบายทุกครั้ง ถ้าสิ่งที่เขาสอนมันมีค่าพอที่จะเรียน พวกเขาก็ต้องบอกได้ว่า มีค่ายังไง และถ้าสิ่งที่เขาสอนมันไม่มีค่าเลย แต่เขาไม่มีทางเลือก เขาก็ต้องบอกนักเรียนอย่างเธออย่างซื่อตรง


การเรียนรู้อะไรสักอย่าง ต้องใช้ความพยายาม และการจะทำให้ใครสักคนพยายามก็ต้องอาศัยแรงจูงใจ


โรงเรียนควรให้โอกาสนักเรียนแต่ละคนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ที่จะ "เรียนรู้"


จำไว้ว่า ทุกอย่างที่เธอเรียน เธอต้องเรียนรู้มันด้วยตัวเอง

เธอต้องลงมือเรียนเอง ครูของเธอเรียนให้เธอไม่ได้

เขาทำได้แค่ให้โอกาสเธอมากเท่าที่เธอต้องการ และส่งเสริมให้เธอเรียนด้วยตัวเธอเอง

จำไว้ด้วยว่า เธอจะเรียนรู้อะไรได้ก็ต่อเมื่อเธอได้รับอนุญาตให้คิดวิเคราะห์ถึงสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเอง


เกี่ยวกับการเรียน

เวลาที่เธอเบื่อ เธอเรียนแค่ว่าทำยังไงถึงจะเบื่อ

ไม่ว่าจะเป็นคาบเลข ภูมิศาสตร์หรืออะไรก็แล้วแต่

ถ้าเธอต้องทำตามสั่งตลอด เธอก็จะเรียนแค่ว่าต้องเชื่อง และไม่ตั้งคำถามอะไรเลย

เธอแค่เรียนที่จะไม่คิด


ถ้าเธอถูกบังคับให้เรียน เธอก็จะเรียนรู้ว่าการเรียนมันทรมาน ต่อให้ครูบอกว่ามันจะมีประโยชน์ในอนาคตก็เถอะ...



ที่น่าประหลาดใจกว่าคือ ในสวีเดน หลังจากที่หนังสือได้รับการแปลและตีพิมพ์ออกมา ปรากฎว่าไม่มีใครออกมาโวยวายอะไรในที่สาธารณะเลย ซึ่งผู้เขียนบทความวิเคราะห์ว่า คงเป็นเพราะก่อนหน้านี้ สนพ.ในสวีเดนก็เคยตีพิมพ์หนังสือเด็กที่ตั้งคำถามต่อโครงสร้างอำนาจสังคมและผู้ใหญ่มาบ้างแล้ว ชาวสวีดิชเลยไม่ได้ตื่นเต้นตกใจอะไรกับ Den Lille Røde Bog สักเท่าไหร่ ส่วนทางนอร์เวย์ มีการต่อต้านเล็กน้อย ตอนที่สนพ. PAX (สนพ.ฝ่ายซ้าย) วางแผนจะตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ เพื่อฉลองครอบรอบ 45 ปีของสนพ. แล้วสส. พรรคการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยม (The Christian People’s Party) นำเรื่องไปฟ้องศาล ว่าหนังสือนี้ไม่เหมาะสม ขอให้ระงับการตีพิมพ์ อย่างไรก็ตามพรรคอื่น ๆ ในสภาไม่เห็นด้วยกับการจำกัด Freedom of Speech ของประชาชน คำฟ้องจึงตกไป สส.หลาย ๆ พรรคยังบอกด้วยว่า

แม้จะไม่ชอบหนังสือเล่มนี้ในหลายส่วน แต่ก็เห็นข้อดีของมัน ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนได้วิเคราะห์ถกเถียงกันถึงระบบการศึกษาของนอร์เวย์อย่างกว้างขวางและเปิดเผย

Den Lille Røde Bog จึงยังได้ไปต่อในนอร์เวย์ ก่อนจะแพร่กระจายออกไปยังประเทศกลุ่มภาษาอื่น ๆ

คลิกเพื่ออ่านคำแปล

ครูและนักเรียนต้องร่วมมือกันเพื่อเปลี่ยนแปลง

ไม่ควรมีเรื่องต้องหมางใจกันเลย

จริง ๆ แล้ว ครูมีอำนาจน้อยมาก ก็เหมือนกับนักเรียนนั่นแหละ

พวกครูไม่ได้เลือกได้ว่าจะเรียนอะไร หรือสอนอะไร ทั้งยังมีส่วนในการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงสภาพแย่ ๆ ในที่ทำงานน้อยมากด้วย


คนมากมายจะบอกเธอว่า ความเปลี่ยนแปลงกำลังจะมา เธอแค่ต้องรอ

แต่ถ้าเธอรอจริง ๆ รับรองเลยว่าเธอต้องรอไปตลอดกาล




แล้วผู้ใหญ่ไทยล่ะคะ จะตอบรับกับการที่เด็ก ๆ ออกมาเรียกร้องสิทธิเพื่อตัวเองและเด็กคนอื่น ๆ อย่างไร?


ก่อนจากกันขอทิ้งท้ายด้วยโควตนี้ค่ะ...

คนมากมายจะบอกเธอว่า ความเปลี่ยนแปลงกำลังจะมา เธอแค่ต้องรอ แต่ถ้าเธอรอจริง ๆ รับรองเลยว่าเธอต้องรอไปตลอดกาล

- คู่มือนักเรียน (ขบถ)





*บทความนี้ตีพิมพ์ในเฟสบุ๊กเพจ Children's Books Out There ที่นี่



อ้างอิง Heywood, S., & Strandgaard Jensen, H. (2018). Exporting the Nordic Children’s ’68: The global publishing scandal of The Little Red Schoolbook. Barnboken – Journal of Children’s Literature Research, 41. https://doi.org/10.14811/clr.v41i0.332 ภาคผนวก ประเด็นข้อเรียกร้องหลัก ๆ ของเด็กนักเรียนไทยเกี่ยวกับการศึกษา ณ วันที่บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรก (8 กันยายน 2021) คือ

ต้องการให้กระทรวงศึกษาฯ 1. ปรับรูปแบบออนไลน์ให้เหมาะกับการเรียนทางออนไลน์จริง ๆ ไม่ใช่เรียนออนไลน์แบบไม่ได้ประสิทธิภาพเพราะรูปแบบไม่สอดคล้องกับธรรมชาติการใช้เครื่องมือดิจิตัลของผู้เรียน เพื่อเรียนออนไลน์

2. ทำให้นักเรียนได้มีโอกาสเรียนออนไลน์เท่า ๆ กัน ไม่ใช่ว่าใครไม่มีเครื่องมือ หรือเครื่องมือไม่ดีพอก็ไม่ได้เรียน

3. จัดให้มีการให้คำปรึกษา รับฟังเรื่องทุกข์ร้อนของนักเรียนจากการเรียนออนไลน์ และการศึกษาในช่วงโควิดระบาด

4. จัดให้มีการศึกษาฟรี "จริง ๆ" ทำให้การศึกษาเป็นสิทธิที่นักเรียนทั่วประเทศได้รับอย่างเท่าเทียมกัน และ

5. เรียกร้องให้รัฐบาลหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาฉีดให้ประชาชนเพื่อที่นักเรียนจะได้กลับไปเรียนตามปกติในเร็ววัน (สรุปจากคลิปสัมภาษณ์ มิน จากกลุ่มนักเรียนเลวค่ะ https://fb.watch/7SYGsWMLjo/) การเคลื่อนไหวในเดือนกันยายน 2021 เกิดขึ้นเพื่อปกป้องสวัสดิภาพทางการศึกษาของนักเรียนไทย โดยเปิดเทอมปีนี้ มีเด็กหลุดจากระบบการศึกษาไปมากกว่า 6,000 คนแล้ว https://workpointtoday.com/education-38/ และกสศ. ประมาณการณ์ว่าปีนี้จะมีเด็กหลุดจากระบบอีก 1.9 ล้านคน https://thestandard.co/key-messages-children-dropped-out.../



bottom of page