คู่มือสำหรับเด็กชายเล่มนี้ ไม่ได้สอนแค่ชีววิทยา
แต่เล่าประวัติศาสตร์แปลก ๆ (และเจ็บปวด) เกี่ยวกับอวัยวะเพศชาย
การป้องกันโรค ฝันเปียก ช่วยตัวเอง และอีกหลายคำถามจากเด็ก ๆ
ไปจนถึงความหมายของปิตาธิปไตยและอภิสิทธิ์ที่เพศชายได้รับ
มีพลังกลับมาปิดจ๊อบหนังสือเด็กเกี่ยวกับร่างกายและเพศแล้วค่ะ
คราวที่แล้วเราแนะนำเรื่อง คู่มือน้อยเรื่อง จิ๋ม (ชื่อเดนิช: Den lille bog om tissekoner) ไป วันนี้จะมารีวิวเรื่อง คู่มือน้อยเรื่อง จู๋ (ชื่อเดนิช: Den lille bog om tissemænd) บ้าง ใครที่ยังไม่ได้อ่านรีวิวเล่มแรก ตามไปอ่านได้ที่ลิงก์นี้นะคะ https://www.facebook.com/ChildrensBooksOutThere/posts/177204131357943
Den lille bog om tissemænd เป็นหนังสือสำหรับเด็กตั้งแต่พรีทีน (ประมาณประถมปลาย) ขึ้นไป ต้นฉบับมาจากสวีเดน เขียนโดย คุณ Dan Höjer และวาดโดยคุณ Gunilla Kvarnström ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2002 ค่ะ คุณ Dan ได้แรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือคู่มือเพศศึกษาสำหรับเด็ก จากการทำงานวารสารสำหรับเด็กชื่อ Kamratposten ในสวีเดนมาหลายปี ระหว่างที่ทำงานที่นั่นคุณ Dan ได้รับจดหมายจากเด็ก ๆ ถามเรื่องเกี่ยวกับร่างกายและอารมณ์ความรู้สึกจำนวนมาก ที่น่าสนใจคือ จดหมายส่วนใหญ่เกี่ยวกับหัวข้อพวกนี้มาจากเด็กผู้ชาย!
คุณ Dan รู้ดี จากประสบการณ์วัยเด็กของตัวเอง ว่าเด็กผู้ชายที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยรุ่นก็มีความกังวลเรื่องร่างกายไม่ต่างอะไรกับเด็กผู้หญิงเลย จดหมายของเด็ก ๆ ทำให้เขารู้สึกผิดหวังที่พบว่าหลายสิบปีผ่านมาแล้ว เด็ก ๆ ก็ยังไม่สามารถคุยเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ใกล้ตัว หรือได้รับการสอนที่ตรงไปตรงมาจากโรงเรียน กลับต้องเขียนมาถามกับกองบรรณาธิการ เขาเลยตัดสินใจเขียนคู่มือเพศศึกษาที่ตอบโจทย์เด็ก ๆ โดยเล่าเรื่องเกี่ยวกับ "อวัยวะเพศชาย" ทั้งในแง่ชีววิทยา สังคม และประวัติศาสตร์ พร้อมทั้งแบ่งปันและตอบคำถามที่เด็กทั้งชายหญิงส่งเข้ามาด้วย
ครูที่โดนเด็กขำใส่จนไม่เป็นอันสอนอะไร
เพศศึกษา ต้องไม่ใช่วิชาที่สอนแค่วิธีมี/ห้ามมีเพศสัมพันธ์ สิ่งที่ทำให้ Den lille bog om tissemænd น่าสนใจและอ่านสนุกมากสำหรับเราคือ การเล่าถึงมุมมองความเชื่อของมนุษย์ในอารยธรรมต่าง ๆ และเกร็ดความรู้แปลก ๆ เกี่ยวกับอวัยวะเพศชาย (รวมถึงวิธีคุมกำเนิดในสมัยก่อน) เช่น
- ในฝั่งยุโรป คนเพิ่งจะเริ่มเข้าใจว่า เด็กเกิดจากอสุจิจากถุงอัณฑะของผู้ชาย ผสมกับไข่จากรังไข่ของผู้หญิง ก็เมื่อราว ๆ สิ้นศตวรรษที่ 18 เท่านั้นเอง ก่อนหน้านั้นคนเข้าใจกันว่าในถุงอัณฑะมีสิ่งที่เรียกว่า "homunculi" หรือมนุษย์จิ๋ว ซึ่งจะเข้าไปในร่างกายของผู้หญิงแล้วเติบโตขึ้นมาเป็นเด็ก จึงไม่ได้ให้เครดิตผู้หญิงมากเท่าผู้ชายในการสร้างมนุษย์รุ่นใหม่ ๆ และอวัยวะเพศชายก็กลายมาเป็นเครื่องหมายของอำนาจในหลาย ๆ วัฒนธรรม บางวัฒนธรรมขนาดของอวัยวะเพศชายเป็นตัวกำหนดว่าใครจะได้เป็นผู้นำด้วยซ้ำ - นักวิชาการตะวันตกในสมัยก่อนเคยเสนอว่า ผู้หญิงมี "จู๋" ที่ย้อนกลับเข้าไปในตัว ถ้าพวกเธอกระโดดเยอะ ๆ ร่างกายได้รับแรงกระทบกระเทือน จู๋ที่กลับด้านอยู่ก็อาจจะเด้งหลุดออกมาข้างนอก แล้วทำให้ผู้หญิงมีจู๋แบบผู้ชาย (โอ๊ยเนาะ...) - ในวงการนักร้องประสานเสียงฝรั่งเศสสมัยก่อน เด็กผู้ชายบางคนถูกจับตัดถุงอัณฑะ เพื่อที่ร่างกายจะได้ผลิตฮอร์โมนเทสโตสเตอร์โรนไม่ได้ เสียงหวานใสแบบเด็กชาย (หรือที่เรียกว่า castrato) จะได้ไม่แตก - สัตว์ที่มีอวัยวะเพศชายยาวสุด (เมื่อเทียบกับขนาดตัว) คือ ตัวหมัด หมัดตัวผู้มี "จู๋" ยาวถึง 1 ใน 3 ของขนาดตัว เรียกได้ว่า ถ้าหมัดขนาดเท่าคน จู๋ของมันจะยาวราว 60 ซม. ส่วนสัตว์ที่มีอวัยวะเพศสั้นสุดคือ กอริลลา... ขณะที่ในสังคมม้าน้ำนั้น ตัวเมียต่างหากที่มี "จู๋" หรือ "ท่อนำไข่" ยืดเข้าไปในกระเป๋าหน้าท้องของตัวผู้แล้ววางไข่ในนั้นก่อนที่ม้าน้ำตัวผู้พ่นอสุจิผสมกับไข่ในกระเป๋าหน้าท้อง แล้วรับหน้าที่อุ้มไข่และคลอดลูกม้าน้ำ
(ถึงตอนนี้ มีใครลองไปเสิร์ชภาพในกูเกิลบ้างแล้วยังคะ 555)
- ก่อนจะมีถุงยางอนามัยที่ทำจากยางใช้ ผู้ชายใช้ "ถุงครอบอวัยวะเพศ" ที่ทำจากลำไส้ของสัตว์ชนิดต่างๆ สมัยก่อนถึงกับมีคนจัดพิมพ์คู่มือการทำถุงยางด้วยตัวเองด้วยนะ... เริ่มจากการไปซื้อไส้สัตว์ที่ร้านขายเนื้อก่อนอันดับแรก แถมยังมีรีวิวลำไส้แต่ละแบบอีก (ว้อย!)
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมรอบโลกเกี่ยวกับ จู๋
เสียงของเด็ก ๆ เกี่ยวกับเรื่องเพศ ระหว่างที่เล่าเรื่องแปลก ๆ ของโลกใบนี้ คุณ Dan ก็ได้แทรกความเห็นและคำถามของเด็ก ๆ ที่ส่งมาถึงเขาด้วย เช่น เด็กบางคนชอบที่มีจู๋ คิดว่ามันน่ารักดี บางคนก็รู้สึก "หยะแหยง" โดยเฉพาะเวลามีฝันเปียก เด็กผู้ชายคนหนึ่งเล่าเรื่องน่าอับอายที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อจู่ ๆ อวัยวะเพศก็แข็งตัวขึ้นมาขณะกำลังฝึกเต้นรำกับเพื่อนผู้หญิง (จากนั้นก็เลยไม่ได้คุยกับเพื่อนคนนั้นอีกเลย...โธ่ น้องเอ๊ย...) เด็กบางคนเล่าว่าเริ่มช่วยตัวเองเมื่อไหร่ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร เด็กหลายคนเทียบอวัยวะเพศกันกับเพื่อนในห้องน้ำหรือห้องอาบน้ำที่โรงพละของโรงเรียน แล้วก็กังวลหลายเรื่อง เช่น กังวลที่อวัยวะเพศหดตัวขณะอาบน้ำเย็น กลัวว่าขนาดของตัวเองใหญ่ไม่พอ บางคนก็อายที่ตัวเองมีขนขึ้นก่อนเพื่อน ขณะที่บางคนโดนล้อเพราะขนยังไม่ขึ้นสักที การที่ได้อ่านเรื่องราวและคำถามของเด็กคนอื่น ๆ น่าจะช่วยให้เด็กที่ยังไม่กล้าพูดคุยเรื่องนี้ หรือแอบกังวลอยู่คนเดียว รู้สึกไม่โดดเดี่ยวและได้รับคำตอบที่ช่วยให้สบายใจขึ้นด้วย เท่ากับว่าหนังสือได้สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็ก ๆ ไปในตัว ขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่ที่อ่านคู่มือนี้ก็จะได้มีโอกาสรู้ความคิดเห็น ความกังวลของเด็ก และเตรียมตัวพูดคุยกับเด็ก ๆ ในความดูแลด้วย
เรื่องมันช่างหน้าอาย... เมื่อจู๋แข็งตัวต่อหน้าเพื่อนผู้หญิง
ภาพตลก ๆ และคำศัพท์มากมายเกี่ยวกับ "จู๋"
เราอาจจะเห็นหนังสือเด็กต่างประเทศมากจนด้านชาไปแล้ว เวลาเห็นภาพประกอบโจ่งแจ้งในหนังสือเด็กเล่มนี้เลยไม่ค่อยช็อกเท่าไหร่ หรืออาจจะเพราะ "จู๋" เป็นอะไรที่ค่อนข้างถูกโชว์บ่อยอยู่แล้วก็เป็นได้ เดิน ๆ ไปตามถนนก็เห็นกราฟฟิตี้จู๋ ไถเฟสอยู่ก็โดนยิง ad เซ็กส์ทอย บางทีก็มีคนส่งภาพโชว์ของมา (เอ็งภูมิใจมากสินะ)
เราคิดว่า การแสดงภาพตลก ๆ / ภาพตรงไปตรงมาของ "จู๋" ที่มาคู่กับความรู้นี่ดีนะ นักวาดก็วาดออกมาได้ไม่อนาจารอะไร เราว่าดีกว่าการให้เด็กไปเห็น ไปเจอในสถานการณ์ที่คนไม่ได้ตั้งใจจะให้ความรู้แบบจริงจังและหวังดีเยอะเลย อย่างน้อยภาพก็ช่วยละลายความอาย ทำให้คนอ่านขำ แล้วเริ่มรู้สึกกล้าที่จะทำความเข้าใจ และพูดถึงเรื่อง "อวัยวะเพศ" มากขึ้น
คำว่าจู๋ในหลาย ๆ ภาษา และข้อสังเกตของหนุ่มน้อยเกี่ยวกับ จู๋
สอนเด็กชายให้เป็นสุภาพชน เรานับถือคุณ Dan มากเลยที่ไม่ได้แค่ให้ความรู้เกี่ยวกับชีววิทยาและประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ยังสอนให้เด็กชายเข้าใจถึง "อภิสิทธิ์" ของการเป็นผู้ชายในสังคมปิตาธิปไตย และตระหนักถึงการกดขี่เพศหญิง ที่เกิดขึ้นมาตลอดในประวัติศาสตร์ และยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน
"คนมักจะนำคำศัพท์เกี่ยวกับเพศหญิง มาใช้เหยียดหยามผู้ชาย เพราะเขาเชื่อว่า ผู้หญิงไม่ได้เป็นคนสมบูรณ์เท่าผู้ชาย... นักจิตวิทยาในสมัยหนึ่งบอกด้วยว่า ผู้หญิงอิจฉาที่ผู้ชายมีจู๋ ที่พวกเธอจะไม่มีวันมี ทำให้พวกเธอเสี่ยงมีปัญหาทางจิตกว่าผู้ชาย... ผู้หญิงถูกมองว่าเป็นรองและถูกกดขี่จากความเชื่อนี้แบบนี้มาตลอด"
- เรียบเรียงจากบทหนึ่งในคู่มือน้อยเรื่อง จู๋
เราว่าวิชาเพศศึกษาสำคัญมาก ๆ เลยนะ หากเราต้องการจะสร้างสรรค์สังคมที่ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ คุณภาพชีวิตที่ดีเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเพศไหน
"ทุกคน" ควรต้องมีส่วนร่วม ไม่ใช่แค่ผู้หญิง หรือคนที่ถูกกดขี่เท่านั้น แต่ผู้ชายเองก็ควรได้รับการศึกษาเรื่องนี้ ทุกคนจะได้มีพื้นฐานความเข้าใจร่วมกัน คุยกันต่อไปได้อย่างเข้าใจสภาพปัจจุบัน และมีเป้าหมายเดียวกันสำหรับสังคมในอนาคต แล้วไทยเราล่ะ สอนอะไรเด็ก ๆ ในด้านเพศศึกษาบ้าง เราควรสอนอะไร และคาดหวังให้ "เด็กชาย" ของเรา รู้และปฏิบัติตัวอย่างไร? เพื่อน ๆ ล่ะ คิดว่าอย่างไรคะ
*บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรก ที่นี่
ความคิดเห็น